สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 22-28 พฤศจิกายน 2562

 

ข้าว
 
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 และมติที่ประชุม นบข. ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบในหลักการตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 ตามมติ
ที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำกับติดตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562
การดำเนินงานประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์ อุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 32.48 ล้านตันข้าวเปลือก อุปทาน 34.16 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว ได้แก่
1.1) การกำหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 58.99 ล้านไร่
โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าวแล้ว เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 และ รอบที่ 2 จำนวน 13.81 ล้านไร่
1.2) การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 4.00 ล้านครัวเรือน และ รอบที่ 2 จำนวน 0.30 ล้านครัวเรือน
1.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
1.4) การปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ การจัดรูปที่ดินและปรับระดับพื้นที่นา
1.5) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ (1) โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่
(นาแปลงใหญ่) (2) โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข43 (3) โครงการส่งเสริมระบบเกษตรแบบแม่นยำสูง (4) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศ (5) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ (6) โครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าวหอมมะลิ (7) โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง
(8) โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวไปเป็นพืชอื่น (Zoning by Agri-Map) (9) โครงการส่งเสริม
การปลูกพืชหลากหลาย (10) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด และ (11) โครงการประกันภัยพืชผล
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ (1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ
รถเกี่ยวนวดข้าว และ (2) โครงการยกระดับมาตรฐานโรงสี กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงตลาดข้าวนาแปลงใหญ่
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศ ได้แก่ (1) โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร (2) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ พ.ศ. 2563-2565
(3) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและสร้างการรับรู้ถึงคุณประโยชน์ของการบริโภคผลผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าว
(4) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวสาร Q และข้าวพันธุ์ กข43 ปีการผลิต 2561/62 (5) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยว
และปรับปรุงคุณภาพข้าว (6) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร (7) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการในการเก็บสต็อก และ (8) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศ ได้แก่ (1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ (2) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมข้าว (3) การส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐานและปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย และ (4) การประชาสัมพันธ์การบริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
2) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1
มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกร
ผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
ชนิดข้าว ราคาประกันรายได้ ครัวเรือนละไม่เกิน
(บาท/ตัน) (ตัน)
ข้าวเปลือกหอมมะลิ 15,000 14
ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ 14,000 16
ข้าวเปลือกเจ้า 10,000 30
ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี 11,000 25
ข้าวเปลือกเหนียว 12,000 16
กรณีเกษตรกรเพาะปลูกข้าวมากกว่า 1 ชนิด ได้สิทธิ์ไม่เกินจำนวนขั้นสูงของข้าวแต่ละชนิด เมื่อรวมกันต้องไม่เกินขั้นสูงของชนิดข้าวที่กำหนดไว้สูงสุด และได้สิทธิ์ตามลำดับระยะเวลาที่แจ้งเก็บเกี่ยวข้าวแต่ละชนิด
2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563
2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 -
28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่
วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ
2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ จะประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงทุกๆ 15 วัน จนถึงวันสิ้นสุดการใช้สิทธิตามโครงการประกันรายได้ฯ โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562
3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่
1 สิงหาคม – 30 เมษายน 2563
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 14,006 บาท ราคาลดลงจากตันละ 14,510 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.47
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 7,811 บาท ราคาลดลงจากตันละ 7,930 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.51
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 32,430 บาท ราคาลดลงจากตันละ 34,390 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 5.69
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 11,270 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 11,250 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.17
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 1,097 ดอลลาร์สหรัฐฯ (32,860 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 1,098 ดอลลาร์สหรัฐฯ (32,865 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.09 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 5 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 424 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,701 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 421 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,601 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.71 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 100 บาท
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 417 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,491  บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 415 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,428  บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.48 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 63 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 414 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,401 บาท/ตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 9 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 29.9546
 
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
2.1 สถานการณ์ข้าวโลก
1) การผลิต
ผลผลิตข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์ผลผลิตข้าวโลกปี 2562/63 ณ เดือนพฤศจิกายน 2562
มีผลผลิต 497.756 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจาก 499.342 ล้านตันข้าวสาร ในปี 2561/62 หรือลดลงร้อยละ 0.32
2) การค้าข้าวโลก
บัญชีสมดุลข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์บัญชีสมดุลข้าวโลก ปี 2562/63 ณ เดือนพฤศจิกายน 2562 มีปริมาณผลผลิต 497.756 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปี 2561/62 ร้อยละ 0.32 การใช้ในประเทศ 494.006 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจาก ปี 2561/62 ร้อยละ 1.10 การส่งออก/นำเข้า 46.199 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2561/62 ร้อยละ 3.31 และสต็อกปลายปีคงเหลือ 177.044 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2561/62
ร้อยละ 2.16
โดยประเทศที่คาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ เมียนมา กัมพูชา จีน กายานา อินเดีย แอฟริกาใต้ ไทย เวียดนาม  และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะส่งออกลดลง ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล ปากีสถาน ปารากวัย และรัสเซีย
สำหรับประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ เบนิน บราซิล เบอร์กินา คาเมรูน ไอเวอรี่โคสต์ คิวบา กินี อินโดนีเซีย เคนย่า เม็กซิโก โมแซมบิค เนปาล ซาอุดิอาระเบีย เซเนกัล แอฟริกาใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าลดลง ได้แก่ อียู อิหร่าน อิรัก และฟิลิปปินส์
ประเทศที่มีสต็อกคงเหลือปลายปีเพิ่มขึ้น ได้แก่ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม
ส่วนประเทศที่คาดว่าจะมีสต็อกคงเหลือปลายปีลดลง ได้แก่ อินโดนีเซีย และสหรัฐอเมริกา
2.2 สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
          ไทย-จีน
          จีนเร่งขึ้นทะเบียนผู้ผลิตแปรรูปข้าวลอต 2 ชาวนาไทยเฮ ยอดส่งขายเพิ่มอีกกว่าล้านตัน
นายเฉลิมชัย  ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยหลังหารือกับนายจาง จี้เหวิน รัฐมนตรีช่วยว่าการสำนักงานการศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (GACC) ว่า การหารือดังกล่าวเพื่อขอบคุณ GACC ที่ให้ความสำคัญกับการส่งออกข้าวจากไทยไปจีน โดยฝ่ายไทยเสนอรายชื่อผู้ผลิตฯ ชุดที่ 2 ให้ GACC
เพื่อพิจารณาขึ้นทะเบียนแล้ว ซึ่ง GACC แจ้งว่าจะเร่งพิจารณารายละเอียดการขึ้นทะเบียนผู้ผลิตฯ ดังกล่าวโดยเร็วที่สุด
          สำหรับประเทศจีนแจ้งว่า ข้าวไทยเป็นที่นิยมอย่างมากในจีน และจีนให้ความสำคัญกับการนำสินค้าเกษตรคุณภาพสูงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะข้าวจากไทย ที่ผ่านมามีผู้ประกอบการไทยได้รับการขึ้นทะเบียนแล้ว 49 ราย
ซึ่งรัฐบาลไทยมีนโยบายให้การสนับสนุนผู้ประกอบการ SME รายย่อย จึงมีผู้ประกอบการอีกหลายรายที่ประสงค์จะขึ้นทะเบียนเพื่อส่งออกไปจีน จึงถือเป็นข่าวดีที่จีนตอบรับที่จะให้การสนับสนุนและเร่งรัดในการขึ้นทะเบียนผู้ผลิต
อีกลอตใหญ่ คาดว่าข้าวไทยกว่า 1 ล้านตัน จะส่งออกมายังจีนเร็ววันนี้
          นอกจากนี้ สองฝ่ายยังหารือเพิ่มเติมด้านการส่งออกสินค้าเกษตรไทยไปจีนที่สำคัญ อาทิ เร่งรัดพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนด้านการตรวจสอบกักกันผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่ส่งออกจากไทยไปจีน เร่งรัดการขึ้นทะเบียนสวนและโรงคัดบรรจุผลไม้เพิ่มเติม การส่งออกสุกรแช่เย็นแช่แข็งของไทย การส่งออกโคเนื้อมีชีวิตจากไทยไปจีน การส่งออกรังนกดิบ การตรวจประเมินโรงงานผู้ผลิตสัตว์ปีก รวมทั้งการขอให้ด่านตงซิง ซึ่งเป็นด่านนำเข้าผลไม้แห่งที่สองของเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง โดยรัฐบาลจีนอนุญาตให้นำเข้าผลไม้จากต่างประเทศแล้ว ยังสามารถนำเข้าผลไม้ไทยผ่านการขนส่งทางบกเช่นเดียวกับด่านโหย่วอี้กว่าน  เพื่อรองรับการส่งออกผลไม้จากไทยไปจีนในอนาคต ทั้งนี้ ฝ่ายจีนจะนำ
ทุกข้อเสนอของฝ่ายไทยไปพิจารณาข้อมูลในด้านเทคนิคและจะประสานงานอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นที่พอใจอย่างเร็วที่สุด
          ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า
 

ฟิลิปปินส์
นาย William Dar รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร (Agriculture Secretary) ประกาศหลังการประชุมกับประธานาธิบดี Rodrigo Duterte ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวว่าได้สั่งระงับการนำเข้าข้าวหลังมีการนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้น ทำให้ฟิลิปปินส์กลายเป็นผู้ซื้ออันดับต้นของโลกในปีนี้ และส่งผลให้เกิดปัญหาราคาข้าวในประเทศตกต่ำ สร้างความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร โดยนาย William Dar ระบุว่า รัฐบาลฟิลิปปินส์จะไม่ระงับการนำเข้าข้าวตามกระแสข่าวที่ออกมา
ก่อนหน้านี้ แต่จะใช้มาตรการด้านความปลอดภัยอาหารเพื่อควบคุมการนำเข้าข้าวแทน
นาย William Dar กล่าวว่า ประธานาธิบดี Duterte ได้ออกคำสั่งให้กระทรวงเกษตร (the Department of Agriculture) ผ่านสำนักงานอุตสาหกรรมพืช (Bureau of Plant Industry) ดำเนินมาตรการด้านสุขอนามัยและ สุขอนามัยพืชให้เข้มงวดมากขึ้น โดยหน่วยงานจะดำเนินการตรวจสอบล่วงหน้า ณ จุดต้นทางของข้าวนำเข้าเพื่อรับรองคุณภาพและความปลอดภัยของข้าวสำหรับผู้บริโภค ในขณะเดียวกันก็ป้องกันการแพร่กระจายของศัตรูพืชและโรคพืชด้วย
ทั้งนี้ การดำเนินมาตรการด้านความปลอดภัยด้านอาหารที่เข้มงวดขึ้น ช่วยให้ปริมาณการนำเข้าข้าวลดลง
เหลือเพียง 85,000 ตัน ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งลดลงจากระดับเฉลี่ย 254,000 ตันต่อเดือน ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการรับประกันว่าเกษตรกรฟิลิปปินส์จะสามารถขายข้าวและมีกำไร ประธานาธิบดี Duterte ได้สั่งการให้องค์การอาหารแห่งชาติ (National Food Authority) เป็นผู้ดำเนินการจัดหาข้าวจากเกษตรกรเพิ่มขึ้น เพื่อให้มีข้าวสำรองเป็นสองเท่า คือมีสต็อกเพียงพอสำหรับ 30 วัน
สำนักงานสถิติแห่งชาติ (the Philippine Statistics Agency; PSA) รายงานว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ 1 ของเดือนพฤศจิกายน 2562 ราคาข้าวเปลือกเริ่มขยับสูงขึ้น ขณะที่ข้าวสารยังคงปรับลดลงจากช่วงสัปดาห์ก่อนหน้า (ราคาข้าวเคยสูงขึ้นไปสู่ระดับสูงสุดในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนกันยายน 2561) โดยราคาข้าวเปลือกเฉลี่ย (The average farm-gate paddy price) อยู่ที่ 15.52 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณ 305.19 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เพิ่มจาก 15.36 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณ 304.26 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ในช่วงสัปดาห์ก่อน และลดลงร้อยละ 23.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา  ขณะที่ราคาขายส่งข้าวสารเกรดดี (The average wholesale price of the well-milled rice) อยู่ที่ระดับ 37.57 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณ 738.79 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ลดลงจาก 37.6 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณ 744.82 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ในสัปดาห์ก่อนหน้า และลดลงร้อยละ 14.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน
ของปีก่อน ส่วนราคาขายปลีกข้าวสารเกรดดี (The average retail price of the well-milled rice) อยู่ที่ 41.73
เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณ 820.59 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ลดลงจาก 41.75 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณ 827.03 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ในสัปดาห์ก่อนหน้า และลดลงร้อยละ 12.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับราคา
ขายส่งข้าวสารเกรดธรรมดา (The average wholesale price of the regular-milled rice) อยู่ที่ 33.42 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณ 657.18 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ลดลงจาก 33.69 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณ 667.37 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และลดลงร้อยละ 17.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และราคาขายปลีกข้าวสารเกรดธรรมดา (The average retail price of the regular-milled rice) อยู่ที่ 36.82 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณ 724.04 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ลดลงจาก 37.02 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณ 735.11 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เมื่อสัปดาห์ก่อน และลดลงร้อยละ 16.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงมะนิลา รายงานว่า กระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์จะยกระดับ
ความเข้มงวดก่อนออกใบอนุญาตสุขอนามัยในการนำเข้าข้าว เพื่อชะลอการนำเข้าในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว (เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2562) เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อราคาข้าวเปลือกที่ชาวนาจะได้รับ
นาย William D. Dar รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ กล่าวว่า ได้ลงนามออกคำสั่ง Memorandum Order No. 28 on Supplementary provision to DA Department Circular No.4, series of 2016 เกี่ยวกับ Guidelines on the importation of plants, planting materials and plant products for commercial purposes เพื่อกำหนดกฎระเบียบเกี่ยวกับมาตรการสุขอนามัยที่เข้มงวดมากขึ้น โดยกระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ได้ยกระดับความเข้มงวดในขั้นตอนการออกใบอนุญาตสุขอนามัยในการนำเข้า (Sanitary and phytosanitary import clearance: SPSIC) สินค้าข้าว ครอบคลุมการตรวจสอบสารโลหะหนัก ระดับสารตกค้างกำจัดศัตรูพืช สารปนเปื้อน/
สิ่งสกปรกภายนอก รวมทั้ง microbiological parameters โดยอ้างว่าเป็นมาตรการควบคุมความปลอดภัยของอาหาร ซึ่ง นาย William D. Dar กล่าวเพิ่มเติมว่า การบังคับใช้มาตรการดังกล่าวเป็นกลยุทธ์ในการช่วยชะลอการนำเข้าข้าวในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวของเกษตรกรชาวนา (เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2562)
ทั้งนี้ ในกฎระเบียบดังกล่าวได้กำหนดให้สินค้าข้าวต้องจัดส่งจากประเทศต้นทางภายในวันที่กำหนดตามที่
ได้รับอนุมัติ และสินค้าต้องเดินทางมาถึงไม่ช้ากว่า 60 วัน จากวันที่จัดส่ง สำหรับใบ SPSIC ออกโดยหน่วยงาน Bureau of Plant Industry (BPI) ภายใต้กระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ โดยสถิติของ BPI แจ้งว่า ตั้งแต่เดือนมีนาคม-สิงหาคม 2562 มีการออกใบอนุญาตดังกล่าว จำนวน 3,115 ฉบับ ให้แก่ผู้นำเข้า 228 ราย ปริมาณรวม 2.776 ล้านตัน ซึ่งมากกว่าระดับปริมาณข้าวที่จำเป็นต้องนำเข้าประมาณ 1.5-2.4 ล้านตัน
สถิติการนำเข้าจากกรมศุลกากรฟิลิปปินส์ รายงานว่า ในช่วง 10 เดือนของปี 2562 (มกราคม-ตุลาคม) ฟิลิปปินส์มีปริมาณนำเข้าข้าวรวมกว่า 2.9 ล้านตัน โดยปริมาณ 1.87 ล้านตัน เป็นการนำเข้าในช่วงระหว่างเดือน มีนาคม-ตุลาคม (หลังจากกฎหมายเปิดเสรีนำเข้าข้าวมีผลบังคับใช้) คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 65 ของการนำเข้าทั้งหมด โดยเป็นการนำเข้าจากเวียดนามมากเป็นอันดับ 1 (สัดส่วนประมาณร้อยละ 70 ของการนำเข้าทั้งหมด) รองลงมาได้แก่ ไทย (สัดส่วนประมาณร้อยละ 14) และเมียนมา (สัดส่วนประมาณร้อยละ 8)
ก่อนหน้านี้ กระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ (United Department of Agriculture; USDA) รายงานว่า
ในปี 2562 คาดว่า ฟิลิปปินส์จะกลายเป็นประเทศผู้นำเข้าข้าวใหญ่ที่สุดในตลาดโลกแซงหน้าจีน โดยคาดว่า ภายใน
สิ้นปีนี้ ฟิลิปปินส์น่าจะนำเข้าข้าวสูงถึง 3 ล้านตัน หลังจากประเทศเปิดการค้าเสรีการนำเข้าข้าว ในขณะที่จีนคาดว่าจะนำเข้าข้าวลดลงเหลือเพียง 2.5 ล้านตัน น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 3.15 ล้านตัน
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ รายงานว่า ในปี 2562 ฟิลิปปินส์มีการนำเข้าข้าวเกือบ 3 ล้านตัน เพิ่มขึ้น
ถึง 4 เท่า เมื่อเทียบกับการนำเข้าข้าวในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ที่มีการนำเข้าข้าวประมาณ 8 แสนตัน โดยปริมาณการนำเข้าดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 7 ของการนำเข้าข้าวในตลาดโลก ในขณะเดียวกันจีนกลับมีการนำเข้าข้าวลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง โดยสัดส่วนอยู่ที่ประมาณร้อยละ 5-6 ของการนำเข้าข้าวในตลาดโลก เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนประชากร
ในปัจจุบันของจีนที่มีมากถึง 1.4 พันล้านคน ในขณะที่ฟิลิปปินส์มีจำนวนประชากร 110 ล้านคน
ในปีนี้ ฟิลิปปินส์มีการนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 58 เมื่อเทียบกับปริมาณการนำเข้าในปี 2561 ที่มีการนำเข้า ประมาณ 1.9 ล้านตัน ซึ่งเป็นผลพวงจากการใช้กฎหมายเปิดเสรีนำเข้าข้าวเมื่อเดือนมีนาคม 2562 เป็นต้นมา ทำให้ปริมาณการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ราคาข้าวในประเทศลดลงมาก
อย่างไรก็ตาม ในปี 2563 คาดการณ์ว่า ฟิลิปปินส์จะลดปริมาณการนำเข้าข้าวที่มากเกินไปลง และจะหันมา ปรับปรุงการผลิตข้าวภายในประเทศ โดยคาดว่าในปี 2563 ฟิลิปปินส์จะนำเข้าข้าวประมาณ 2.5 ล้านตัน ซึ่งเท่ากับ ปริมาณการนำเข้าข้าวในปีนี้ของจีน ทั้งนี้ ปริมาณการนำเข้าข้าวที่ลดลงอาจเป็นผลสะท้อนจากการเปิดไต่สวนขั้นต้น เพื่อใช้มาตรการ Safeguard
ในส่วนพื้นที่เพาะปลูกข้าวของฟิลิปปินส์ในปี 2562 คาดว่า จะลดลงอยู่ที่ประมาณ 29.38 ล้านไร่ จาก 29.62 ล้านไร่ ในปี 2561 หรือลดลงประมาณร้อยละ 0.8 ส่วนผลผลิตข้าวในประเทศคาดว่าในปี 2562 จะมีปริมาณ 12 ล้านตัน เท่ากับปี 2561 สำหรับการบริโภคข้าวในปี 2562 คาดว่าจะอยู่ที่ 14.2 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 14.1 ล้านตัน ในปี 2561
นอกจากนี้ สำนักงานสถิติของฟิลิปปินส์ (Philippine Statistics Authority: PSA) รายงานว่า ปริมาณ
การนำเข้าข้าวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณข้าวในสต็อกของประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยในเดือนกันยายน
มีปริมาณสต็อกข้าวอยู่ที่ 1.84 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.7 จากปีก่อน ที่มีปริมาณสต็อกข้าวอยู่ที่ 1.16 ล้านตัน
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราการบริโภคข้าวในประเทศของชาวฟิลิปปินส์ซึ่งอยู่ที่ 32,000 ตันต่อวัน ทำให้ปริมาณสต็อกข้าวในปัจจุบันมีสำรองเพียงพอต่อการบริโภคประมาณ 58 วัน
ในช่วง 8 เดือนของปี 2562 (มกราคม-สิงหาคม) ฟิลิปปินส์นำเข้าข้าวประมาณ 2.33 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก
ช่วงเดียวกันของปี 2561 ที่มีปริมาณนำเข้าประมาณ 0.98 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 138.33 โดยนำเข้าจากเวียดนามเป็นอันดับ 1 ปริมาณ 1.63 ล้านตัน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 70.28 ของการนำเข้าทั้งหมด รองลงมาได้แก่ ไทยร้อยละ 13.85 และเมียนมาร้อยละ 8.49 โดยแนวโน้มการนำเข้ายังคงเพิ่มขึ้นอย่างเนื่อง ซึ่ง USDA คาดการณ์ว่า ฟิลิปปินส์จะ นำเข้าข้าวในปีนี้ถึง 3 ล้านตัน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ตลาดข้าวภายในประเทศฟิลิปปินส์มีความอ่อนไหวสูง เนื่องจากปริมาณการนำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้นดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อราคาข้าวเปลือกในประเทศตกต่ำทำให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อน และขณะนี้อยู่ในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวหลัก (เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน) โดยกระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์พิจารณาจะใช้มาตรการสุขอนามัยที่เข้มงวดขึ้นเพื่อชะลอการนำเข้า เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบราคาข้าวเปลือกที่เกษตรกรชาวนาได้รับ ดังนั้น การนำเข้าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้อาจจะมีการขยายตัวไม่มากนักตามที่ USDA คาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ ฟิลิปปินส์เป็นตลาดสำคัญของข้าวไทยในภูมิภาคเอเชียที่มีการซื้อขายข้าวระหว่างกันในรูปแบบ G to G เป็นหลักในอดีต แต่ปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนมาเป็นการเปิดเสรีนำเข้าข้าวโดยเอกชน ซึ่งถือเป็นโอกาสดีของข้าวไทย อย่างไรก็ดี ปัจจุบันข้าวไทยมีราคาสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งที่สำคัญ เช่น เวียดนาม ทำให้ไทยไม่สามารถ
ช่วงชิงโอกาสดังกล่าวในการขยายการส่งออกมาฟิลิปปินส์ได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างเนื่องส่งผลให้ไม่สามารถแข่งขันด้านราคาได้ ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยต้องพยายามรักษาฐานลูกค้าเดิมและมองหาช่องทางใหม่ๆ ในการเจาะตลาดในฟิลิปปินส์เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มข้าวคุณภาพดีและข้าวเพื่อสุขภาพของไทย เช่น
ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวหอมมะลิแดง ข้าวอินทรีย์ ข้าวกล้อง เป็นต้น เนื่องจากกลุ่มคนรุ่นใหม่และมีกำลังซื้อในฟิลิปปินส์
หันมาสนใจสุขภาพเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน
          ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย




กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
 
 


ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดภายในประเทศในช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้

ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.71 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 7.72 ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.13 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ ความชื้นเกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.01 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 6.04 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.50
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ  9.17 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 9.02 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.66 และราคาขายส่งไซโลรับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.43 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 8.46 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.35
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 302.20 ดอลลาร์สหรัฐ (9,052 บาท/ตัน) ลดลงจากตันละ 305.00 ดอลลาร์สหรัฐ (9,131 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.92 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 79 บาท  
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนธันวาคม 2562 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกันชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 367.25 เซนต์ (4,396 บาท/ตัน) ลดลงจากบุชเชลละ 368.76 เซนต์ (4,411 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.41 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 15 บาท


 


มันสำปะหลัง
 
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2563 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 – กันยายน 2563) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.91 ล้านไร่ ผลผลิต 31.474 ล้านตัน ผลผลลิตต่อไร่ 3.53 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2561 ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.72 ล้านไร่ ผลผลิต 30.995 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.56 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว และผลผลิต สูงขึ้นร้อยละ 2.18 และร้อยละ 1.53 ตามลำดับ แต่ผลผลิตต่อไร่ลดลงร้อยละ 0.62 โดยเดือนพฤศจิกายน 2562 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 2.07 ล้านตัน (ร้อยละ 6.57 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2563 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2563 ปริมาณ 17.61 ล้านตัน (ร้อยละ 55.96 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
เป็นช่วงต้นฤดูการเก็บเกี่ยว ผลผลิตยังออกสู่ตลาดไม่มากนัก สำหรับราคาหัวมันสำปะหลังสดมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.96 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1.88 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 4.26
ราคามันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.05 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 5.11 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 1.17
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.05 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 13.01 ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 13.17 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 1.21
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 233 ดอลลาร์สหรัฐฯ (6,979 บาทต่อตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 228 ดอลลาร์สหรัฐฯ (6,826 บาทต่อตัน) ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 2.24
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้ไม่มีรายงาน

 


ปาล์มน้ำมัน
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2562 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนพฤศจิกายนจะมีประมาณ 1.261 ล้านตันคิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.227 ล้านตัน สูงขึ้นจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.241 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.223 ล้านตัน ของเดือนตุลาคม คิดเป็นร้อยละ 1.61 และร้อยละ 1.79 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 3.95 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 3.60 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 9.72                
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 23.20 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 22.65 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 2.43     
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
เหตุการณ์ในต่างประเทศ
ราคาสัญญาซื้อขายปาล์มน้ำมันล่วงหน้าของมาเลเซียสูงขึ้น 1 เปอร์เซ็นต์ ณ วันที่ 28 พ.ย. 2562 เนื่องจากอินโดนีเซียประกาศลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล 165,000 บาร์เรลต่อวัน ผ่านการใช้ไบโอดีเซล (B30) ทดแทน และอุปทานที่ยังมีแนวโน้มลดลง การประกาศใช้ B30 ทำให้ปริมาณการส่งออกปาล์มน้ำมันของอินโดนีเซียมีแนวโน้มลดลง ค่าเงินริงกิตมาเลเซียต่อดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง และจีนนำเข้าน้ำมันปาล์มมากขึ้น ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาสัญญาซื้อขายปาล์มน้ำมันล่วงหน้าสูงขึ้น
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 2,617.13 ดอลลาร์มาเลเซีย (19.23 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 2,528.24 ดอลลาร์มาเลเซีย (18.63 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.52     
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 697.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (21.20 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 677.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20.57 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.03
หมายเหตุ  :  ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน

 


อ้อยและน้ำตาล
  1. สรุปภาวะการผลิต  การตลาดและราคาในประเทศ
          ไม่มีรายงาน
  1. สรุปภาวการณ์ผลิตการตลาดและราคาในต่างประเทศ
          รายงานการนำเข้าน้ำตาลของจีน
          กรมศุลกากรของจีน รายงานว่าจีนนำเข้าน้ำตาลเดือนตุลาคม 2562 จำนวน 450,000 ตัน เพิ่มขึ้นจาก 420,000 ตัน ในเดือนกันยายน ร้อยละ 7.14 และในฤดูการผลิตปี 2561/2562 จีนนำเข้าน้ำตาลจำนวน 3.24 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 2.24 ล้านตัน ในปี 2560/2561 ร้อยละ 44.64 ทั้งนี้ยังไม่ได้รวมถึงน้ำตาลที่ลักลอบนำเข้าประเทศ



 

 
ถั่วเหลือง

1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 15.80 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 14.80 บาท ในสัปดาห์
ที่ผ่านมาร้อยละ 6.76
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 18.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเท (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 888.90 เซนต์ (9.93 บาท/กก.) ลดลงจากบุชเชลละ 909.16 เซนต์ (10.15 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.23
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 296.45 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9.01 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 302.22 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9.18 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.91
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 30.48 เซนต์ (20.42 บาท/กก.) ลดลงจากปอนด์ละ 30.78 เซนต์ (20.61 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.97

 

 
ยางพารา

 

 
สับปะรด


 

 
ถั่วเขียว

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 20.91 บาท ลดลงจากราคากิโลกรัมละ 21.99 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.91
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ และถั่วเขียวผิวดำคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 30.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 30.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 19.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี        
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,033.80 ดอลลาร์สหรัฐ (30.97 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 1,034.40 ดอลลาร์สหรัฐ (30.97 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.06 แต่ในรูปเงินบาททรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 933.20 ดอลลาร์สหรัฐ (27.95 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 933.60 ดอลลาร์สหรัฐ (27.95 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.04 แต่ในรูปเงินบาททรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,034.80 ดอลลาร์สหรัฐ (30.97 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 1,034.40 ดอลลาร์สหรัฐ (30.97 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.04 แต่ในรูปเงินบาททรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 664.60 ดอลลาร์สหรัฐ (19.91 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 665.00 ดอลลาร์สหรัฐ (19.91 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.06 แต่ในรูปเงินบาททรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,094.40 ดอลลาร์สหรัฐ (32.78 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 1,094.80 ดอลลาร์สหรัฐ (32.78 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.04 แต่ในรูปเงินบาททรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน


 

 
ถั่วลิสง
 
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 45.00 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 46.25 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อย 2.70
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.48 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 27.41 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อย 0.26
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 58.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 52.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน

 

 
ฝ้าย
 
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้
ราคาฝ้ายรวมเมล็ดชนิดคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้าตลาดนิวยอร์ก (New York Cotton Futures)
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้า เพื่อส่งมอบเดือนมีนาคม 2563 สัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 65.60 เซนต์ (กิโลกรัมละ 43.97 บาท) เพิ่มขึ้นจากปอนด์ละ 63.32 เซนต์ (กิโลกรัมละ 42.41 บาท) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.60 และเพิ่มขึ้นในรูปของเงินบาทกิโลกรัมละ 1.56 บาท
 

 
ไหม

ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,770 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 1,785 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา  ร้อยละ 0.84
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,426 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1,400 บาท  ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.86
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 783 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา

 
 


ปศุสัตว์

สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ  
ภาวะตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ค่อนข้างทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการบริโภคเนื้อสุกรเริ่มมีมากขึ้น เพราะเข้าสู่ช่วงเทศกาลท่องเที่ยว แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ  59.91 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 59.83 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.13 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 55.86 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 59.68 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 60.71 บาท  และภาคใต้ กิโลกรัมละ 61.71 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้  ตัวละ 1,600 บาท (บวกลบ 59 บาท)  สูงขึ้นจากตัวละ 1,500 (บวกลบ 56 บาท)  ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 6.67 
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 61.17 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 59.30 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา  ร้อยละ 3.15

 
ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สัปดาห์นี้สถานการณ์ตลาดไก่เนื้อ ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตไก่เนื้อออกสู่ตลาดใกล้เคียงกับความต้องการบริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะ  ทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 36.32 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 35.00 บาท  ภาคกลาง กิโลกรัมละ 36.07 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 40.60 บาท  และภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 15.50 บาท สูงขึ้นจากตัวละ 14.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 6.90
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 35.50 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 33.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 5.97 และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 48.50 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 47.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 3.19

 
ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ   
สถานการณ์ตลาดไข่ไก่สัปดาห์นี้  ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ค่อนข้างทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากสภาพอากาศที่เริ่มเย็นลงส่งผลให้แม่ไก่ออกไข่มาก ขณะที่ความต้องการบริโภคไข่ไก่ยังคงมีไม่มากนัก แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 282 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 283 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา  ร้อยละ 0.35 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 306 บาท  ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 276 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 279 บาท  และภาคใต้ไม่มีรายงาน  ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท  ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา  
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 311 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา  

 

ไข่เป็ด

ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 332 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 330 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.61 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 340 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 339 บาท ภาคกลาง ร้อยฟองละ 307 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 380 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา

 
โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 90.22 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 90.02 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.22 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.08 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 85.29 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 91.37 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 101.43 บาท

 
กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 68.66 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 68.67 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.01 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.23 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 64.51 ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงานราคา


 

 

 
ประมง

สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 22 – 28 พฤศจิกายน 2562) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การ สะพานปลากรุงเทพฯ
 2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3-4 ตัว/กก.)
ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 48.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 89.93 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 86.52 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 3.41 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 144.38 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 139.15 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 5.23 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 145.83 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 145.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.83 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง)
ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 74.08 บาท ราคา สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 73.47 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.61 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 90.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง)
ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ย กิโลกรัมละ 138.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 125.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 13.00 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 200.00 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 242.86 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 42.86 บาท
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น
ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.62 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 7.63 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.01 บาท
สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 26.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา